"พญาตานี" ปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีอายุเก่าแก่ราว 400
ปี และตั้งแสดงในตำแหน่งประธานของกลุ่มปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม
เป็นภาพสะท้อนความรุ่งเรืองของรัฐปัตตานีในอดีต
ที่ครั้งหนึ่งถูกปกครองโดยราชินีผู้นำบ้านเมืองต่อต้านการรุกรานจากอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยาได้
และยังนำพารัฐเปิดประตูการค้ากับนานาประเทศได้ไม่แพ้กรุงศรีอยุธยา
นางพญาตานี
ปัตตานี ดารุสสลาม นครแห่งสันติ เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องกัน
ถึงกับหมดผู้สืบบัลลังก์ฝ่ายชาย [ปรับปรุงใหม่จากข้อเขียนของ ปรามินทร์ เครือทอง
ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 (มกราคม 2547)]
สมัยต่อจากนี้จึงถูกปกครองโดย "กษัตริยา" ต่อเนื่องกันถึง 4
พระองค์ ในระยะเวลา 67 ปี ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของปัตตานี
ราชินีปัตตานี 3 พระองค์แรกเป็นพี่น้องกัน
และสืบราชสมบัติต่อเนื่องกัน คือ ราชินีฮีเยา (Raja
Hijau) ราชินีบีรู (Raja Biru) และราชินีอูรู
(Raja Ungu) ส่วนราชินีพระองค์สุดท้ายเป็นราชธิดาของราชินีอูรู
มีพระนามว่าราชินีกูนิง (Raja Kuning)
ราชินีทั้ง 4 พระองค์ทำให้ปัตตานีแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
เป็นยุคที่มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศจนเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคนี้
ทำให้สยามมุ่งหวังที่จะครอบครองผลประโยชน์แห่งนี้เสมอมา
ยุคนี้จึงทำให้ปัตตานีต้องทำสงครามกับสยามหลายครั้ง
แต่กองทัพกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่สามารถปราบปัตตานีได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ปืนใหญ่
การที่ปัตตานีจำเป็นต้องป้องกันตัวเองจากการรุกรานของกองทัพสยามและพันธมิตร
จึงมีการก่อสร้างพระราชวังอย่างเข้มแข็ง และสร้างอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด
ในเวลานั้นคือ ปืนใหญ่ ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะยันกองทัพสยามไว้ได้
หลักฐานชิ้นสำคัญของปืนใหญ่อานุภาพสูงก็คือ ปืนพญาตานี
เป็นปืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งตั้งแสดงอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน
ตำนานพญาตานี
ตำนานการสร้างปืนใหญ่พญาตานี มีประวัติความเป็นมาที่คลุมเครือ
ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าสร้างขึ้นในสมัยใด
มีการกล่าวถึงประวัติการสร้างไว้หลายสำนวน แต่โดยสรุปมีข้อสันนิษฐานเรื่องผู้สร้างปืนพญาตานีไว้
3 พระองค์ คือ
สุลต่านอิสมาเอล ชาฮ์ (2043-2073) สร้างโดยช่างชาว?โรมัน? ชื่ออับดุลซามัค
อีก 2 พระองค์ที่เป็นไปได้คือ ราชินีฮีเยา (2127-2159) ราชินีบีรู
(2159-2167) สร้างโดยลิ้มโต๊ะเคี่ยม ชาวจีน ช่างหล่อปืนทั้ง 2
คนนี้เป็นชาวพื้นเมือง
ซึ่งสอดคล้องกับเทคนิคการหล่อปืนพญาตานีว่าเป็นฝีมือของช่างชาวพื้นเมือง
ไม่ใช่เป็นปืนนำเข้าจาก ที่อื่น
ปืนพญาตานีนี้มีขนาดที่บันทึกไว้ในเอกสารว่า ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 2
นิ้วครึ่ง ปากกระบอกกว้าง 11 นิ้ว
เมื่อสำรวจใหม่เทียบกับมาตราปัจจุบัน เส้นผ่าศูนย์กลางปากลำกล้อง 24
เซนติเมตร ยาว 6.82 เมตร ขอบปากลำกล้องหนา 10 เซนติเมตร
หล่อด้วยสำริด ลำกล้องเรียบ บรรจุกระสุนทางปากกระบอก มีหูระวิง
และห่วงคล้องสำหรับยก 2 คู่
ท้ายปืนหล่อตันเป็นรูปสังข์ เพลาสลักรูปราชสีห์ มีคำจารึก? "พญาตานิ"? และขนาดดินดำที่ใช้บรรจุเพื่อยิง
ปืนพญาตานีเข้ากรุงเทพฯ
ในปี 2329 พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.1 โปรดเกล้าฯ
ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพหลวงลงไปปราบปราม
จากนั้นไปตีเมืองปัตตานี จนยึดเมืองได้สำเร็จ
กรมพระราชวังบวรฯ ทรงรับแจ้งว่าพบปืนใหญ่ 2 กระบอก จึงโปรดเกล้าฯ
ให้นำปืนทั้ง 2 กระบอกกลับกรุงเทพฯ เพื่อตัดรอนไม่ให้ปัตตานีแข็งขืนได้อีก
"แต่ปืนกระบอกหนึ่งตกน้ำเสียที่ท่า หน้าเมืองปัตตานี ได้ไปแต่กระบอกเดียว
คือปืนนางพระยาปัตตานีเดี๋ยวนี้"?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น