วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

พญาตานี....ปืนใหญ่

"พญาตานี" ปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีอายุเก่าแก่ราว 400 ปี และตั้งแสดงในตำแหน่งประธานของกลุ่มปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม เป็นภาพสะท้อนความรุ่งเรืองของรัฐปัตตานีในอดีต ที่ครั้งหนึ่งถูกปกครองโดยราชินีผู้นำบ้านเมืองต่อต้านการรุกรานจากอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยาได้ และยังนำพารัฐเปิดประตูการค้ากับนานาประเทศได้ไม่แพ้กรุงศรีอยุธยา





นางพญาตานี
ปัตตานี ดารุสสลาม นครแห่งสันติ เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องกัน ถึงกับหมดผู้สืบบัลลังก์ฝ่ายชาย [ปรับปรุงใหม่จากข้อเขียนของ ปรามินทร์ เครือทอง ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 (มกราคม 2547)]
สมัยต่อจากนี้จึงถูกปกครองโดย "กษัตริยา" ต่อเนื่องกันถึง 4 พระองค์ ในระยะเวลา 67 ปี ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของปัตตานี
ราชินีปัตตานี 3 พระองค์แรกเป็นพี่น้องกัน และสืบราชสมบัติต่อเนื่องกัน คือ ราชินีฮีเยา (Raja Hijau) ราชินีบีรู (Raja Biru) และราชินีอูรู (Raja Ungu) ส่วนราชินีพระองค์สุดท้ายเป็นราชธิดาของราชินีอูรู มีพระนามว่าราชินีกูนิง (Raja Kuning)
ราชินีทั้ง 4 พระองค์ทำให้ปัตตานีแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เป็นยุคที่มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศจนเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคนี้ ทำให้สยามมุ่งหวังที่จะครอบครองผลประโยชน์แห่งนี้เสมอมา
ยุคนี้จึงทำให้ปัตตานีต้องทำสงครามกับสยามหลายครั้ง แต่กองทัพกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่สามารถปราบปัตตานีได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ปืนใหญ่
การที่ปัตตานีจำเป็นต้องป้องกันตัวเองจากการรุกรานของกองทัพสยามและพันธมิตร จึงมีการก่อสร้างพระราชวังอย่างเข้มแข็ง และสร้างอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด ในเวลานั้นคือ ปืนใหญ่ ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะยันกองทัพสยามไว้ได้

หลักฐานชิ้นสำคัญของปืนใหญ่อานุภาพสูงก็คือ ปืนพญาตานี เป็นปืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งตั้งแสดงอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน

ตำนานพญาตานี

ตำนานการสร้างปืนใหญ่พญาตานี มีประวัติความเป็นมาที่คลุมเครือ ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าสร้างขึ้นในสมัยใด มีการกล่าวถึงประวัติการสร้างไว้หลายสำนวน   แต่โดยสรุปมีข้อสันนิษฐานเรื่องผู้สร้างปืนพญาตานีไว้ 3 พระองค์ คือ  สุลต่านอิสมาเอล ชาฮ์ (2043-2073) สร้างโดยช่างชาว?โรมัน? ชื่ออับดุลซามัค
อีก 2 พระองค์ที่เป็นไปได้คือ ราชินีฮีเยา (2127-2159) ราชินีบีรู (2159-2167) สร้างโดยลิ้มโต๊ะเคี่ยม ชาวจีน ช่างหล่อปืนทั้ง 2 คนนี้เป็นชาวพื้นเมือง ซึ่งสอดคล้องกับเทคนิคการหล่อปืนพญาตานีว่าเป็นฝีมือของช่างชาวพื้นเมือง ไม่ใช่เป็นปืนนำเข้าจาก ที่อื่น
ปืนพญาตานีนี้มีขนาดที่บันทึกไว้ในเอกสารว่า ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 2 นิ้วครึ่ง ปากกระบอกกว้าง 11 นิ้ว
เมื่อสำรวจใหม่เทียบกับมาตราปัจจุบัน เส้นผ่าศูนย์กลางปากลำกล้อง 24 เซนติเมตร ยาว 6.82 เมตร ขอบปากลำกล้องหนา 10 เซนติเมตร
หล่อด้วยสำริด ลำกล้องเรียบ บรรจุกระสุนทางปากกระบอก มีหูระวิง และห่วงคล้องสำหรับยก 2 คู่
ท้ายปืนหล่อตันเป็นรูปสังข์ เพลาสลักรูปราชสีห์ มีคำจารึก? "พญาตานิ"? และขนาดดินดำที่ใช้บรรจุเพื่อยิง
ปืนพญาตานีเข้ากรุงเทพฯ
ในปี 2329 พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.1 โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพหลวงลงไปปราบปราม จากนั้นไปตีเมืองปัตตานี จนยึดเมืองได้สำเร็จ
กรมพระราชวังบวรฯ ทรงรับแจ้งว่าพบปืนใหญ่ 2 กระบอก จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำปืนทั้ง 2 กระบอกกลับกรุงเทพฯ เพื่อตัดรอนไม่ให้ปัตตานีแข็งขืนได้อีก "แต่ปืนกระบอกหนึ่งตกน้ำเสียที่ท่า หน้าเมืองปัตตานี ได้ไปแต่กระบอกเดียว คือปืนนางพระยาปัตตานีเดี๋ยวนี้"?

ปัตตานีที่ถูกลืม.....

  

ปาตานี คือชื่อรัฐๆหนึ่งอยู่บนแผ่นดินด้ามขวานที่เรียกว่าแหลมมลายู แซะห์ อาหะหมัด บินวันมูฮัมหมัดเซ็น อัลฟาตอนี ได้กล่าวไว้ว่า ปาตานี คือรัฐหนึ่งในหลายๆรัฐของชาวมลายู ได้เป็นสถานที่ก่อกำเนิดบุรุษที่ดี เฉลียวฉลาด รักสงบและเก่งกล้า เป็นรัฐที่มีเอกราช และอยู่ภายใต้ปกครองของบุคคลเหล่านั้นมาแต่อดีต

    วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง (ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พศ.2445 ) เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารูดดีน เจ้าเมืองปัตตานี ก็ถูกตามไปพบกับพระยา ศรีสหเทพ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในปัตตานี ที่รายล้อมด้วยกำลังทหารและตำรวจประมาณ 100 นาย พระยาศรีสหเทพ ได้ยื่นเอกสารให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนาม แต่ท่านไม่ยอม พระยาศรีสหเทพ จึงสั่งตำรวจและทหารจับกุมตัวเต็งกูอับดุลกอเดร์ พาลงเรือและนำไปควบคุมที่เมืองสงขลา ต่อมาก็ถูกส่งเข้าสู่บางกอก
วันนั้นเป็นวันอันสิ้นสุดของอาณาจักรปาตานีดารุสสาลามที่ปกครองโดยชาวมลายูปาตานีที่มีที่มานานกว่า 600 ปี นับจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลานาน 100 ปี ปัตตานีนั้นเคยเป็นรัฐที่มีเอกราช ก่อนหน้านั้นหรือ ?

    ก่อนที่จะมาเป็นปาตานีนั้น ลังกาสุกะ เป็นชื่อที่ถูกเรียกมาก่อนของดินแดนแห่งนี้ ลังกาสุกะ เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมลายูมาก่อน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ โกตามาหาลิไกย


    การไปล่าสัตว์ป่าของพญาตูนักปา เดวาวังสา จนกระทั่งพบกระจงขาววิ่งหนี หายไปในระหว่างหาดทรายริมชายหาด พบผู้เฒ่าที่มีนามว่าโต๊ะตานี เป็นเหตุให้พระองค์ต้องย้ายเมืองหลวงจากโกตามาหาลิไกย มาตั้งที่กรือเซะ แล้วเปลี่ยนเป็นเมืองปาตานี
การเข้ามาของแซะห์ซาอีดในปาตานี เพื่อรักษาอาการป่วยของพญาตูนักปา จนพระองค์เข้ามารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเปลี่ยนพระนามเป็น สุลต่านอิสมาแอล ชาห์ ซิลลุลลอฮ์ ฟิลอาลาม และการเรียกชื่อเมืองปาตานีเป็น ปาตานีดารุส สาลาม ได้มีการสืบทอดการปกครองอาณาจักรปาตานีดารุส สาลาม จนสิ้นสุดราชวงศ์ศรีมหาวังสา เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระนางกูนิง แทบจะเรียกได้ว่าในระหว่างการปกครองของกษัตริย์ที่เป็นหญิงในปาตานีนั้นได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง เทียบเท่ากับเมืองอัมสเตอร์ดัมในสเปนก็ไม่ปาน


    ปาตานีได้เปลี่ยนผู้ปกครองอีกหลายต่อหลายท่าน สมัย สุลต่านอะหมัด เป็นสุลต่าน ถึงเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2329 ปาตานีก็ถึงกาลอวสาน โดยการเข้าโจมตีของกองทัพสยามทั้งทางบกและทางเรือ สุลต่านอะหมัด สิ้นชีพในการต่อสู้กับศัตรู บ้านเมืองถูกเผาทำลาย ชาวมลายูปาตานีถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ทีสามารถหลบหนีได้ก็แยกย้ายกันไปอาศัยเมืองข้างเคียงอื่นๆ ส่วนหนึ่งก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลยพร้อม ปืนใหญ่ศรีปาตานีที่ถูกยึดไปบางกอก เป็นการทำสงครามครั้งที่หกและเป็นครั้งแรกที่ปาตานีต้องสูญเสียอำนาจแก่สยาม
เต็งกูลัมมีเด็น ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองปาตานี แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตในการทำสงครามเพื่อกอบกู้เอกราชจากสยามที่เขาลูกช้างในเมืองสงขลา เมื่อปี ค.ศ.1791


    หลังจากนั้นไม่นาน ดาโต๊ะปังกาลันก็ตกชะตากรรมคล้ายกับเต็งกูลัมมีเด็น ศีรษะของท่านได้ถูกตัดนำไปถวายแก่แม่ทัพสยามที่ปากน้ำปาตานี เมื่อ ปี ค.ศ.1810 นายกวงไส ชาวจีนจากจะนะก็ได้มีโอกาสเป็นเจ้าเองปาตานี หลังจากนั้นอีก 5 ปี
กระทั่ง พ.ศ.2359 สยามได้ปฏิรูปหัวเมืองประเทศราชโดย แบ่งแยกปาตานีออกเป็น 7 หัวเมือง เพื่อลดทอนอำนาจของปาตานีลง และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสงขลา แต่งตั้งให้ต่วนสุหลง เป็นเจ้าเมืองปาตานี ต่วนนิ เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ต่วนมันโซร์ เป็นเจ้าเมืองรามัน ต่วนยาลอ เป็นเจ้าเมืองยะลา ต่วนนิดะห์ เป็นเจ้าเมืองระแงะ ต่วนนิเด๊ะ เป็นเจ้าเมืองสายบุรี และนายพ่าย (ชาวสยาม)เป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง
สงครามระหว่างมลายูกับสยามในปี 2375 นั้นเกิดจากการขึ้นมากอบกู้เอกราชของชาวมลายูเคดะห์ โดยเต็งกูเด็น แม่ทัพของสุลต่านอาหมัด ตายูดดีน แห่งรัฐเคดะห์ จากเหตุการณ์นี้เมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆของปาตานีต่างก็ถูกเกณฑ์ไปร่วมกับสยามโดยหัวเมืองสงขลาและนครศรีธรรมราช ต่อสู้กับเคดะห์ แต่การณ์กลับตาลปัดที่บรรดาเจ้าเมืองมายูกลับเข้าร่วมกับกองทัพของเต็งกูเด็น แม่ทัพเคดะห์ เข้ารบพุ่งกับกองทัพสยามต้องล่าถอยไป จวบจนกระทั่งกองทัพจากกรุงเทพฯลงมาร่วมกับนครศรีธรรมราช สงขลา เข้าตีกองทัพเคดะห์และปาตานี แตกล่าถอยไป ต่อมา ต่วนกูสุหลง เจ้าเมืองปัตตานี ต่วนกูโน เจ้าเมือง ยะลา และต่วนกือจิเจ้าเมืองหนองจิก สามพี่น้องถูกจับกุมตัวและถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา


    หลังจากนั้นเจ้าเมืองสงขลาได้แต่งตั้งเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองปัตตานีต่างๆเสียใหม่ คือ นายนิยูโซ๊ะ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี นายมิ่ง เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ต่วนมันโซร์ เป็นเจ้าเมืองรามัน นายยิ้มซ้ายหรือเหมใส เป็นเจ้าเมืองยะลา นายนิดะห์ เป็นเจ้าเมืองสายบุรี นายนิบอซู เป็นเจ้าเมืองระแงะ และ นายพ่าย เป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง ภายใต้การควบคุมของเมืองสงขลาเช่นเดิม เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้ง ตกทอดแก่ชาวมลายูบ้างชาวสยามบ้างตามสถานการณ์


ลำดับการแต่งตั้งเจ้าเมืองในหัวเมืองปัตตานีหลังจากการปฏิรูป (1866-1902)


1.เมืองปัตตานี ได้มีการแต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัด หรือเต็งกูบือซาร์ กำปงเลาท์ เชื้อสายกลันตัน มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี เมื่อสิ้นชีวิตก็แต่งตั้งบุตรชายเต็งกูปูเต๊ะ เป็นเจ้าเมือง เมื่อเต็งกูปูเต๊ะ สิ้นชีวิต ก็แต่งตั้งเต็งกูตีมุน (เต็งกูบือซาร์)เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีวิตก็แต่งตั้งเต็งกูสุไลมาน หรือ สุลต่านสุไลมาน ซารีฟูดดีน ชาห์ และสุดท้าย เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารูดดีน เป็นเจ้าเมืองปาตานีคนสุดท้าย


2.เมือง รามัน แต่งตั้ง ต่วนมันโซร์ หรือ โต๊ะนิ โต๊ะและห์ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีด ก็แต่งตั้งต่วนกูโน หรือ นิอูลู เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนญากง หรือเต็งกูอับดุลกานดิส, เมื่อสิ้นชีพ ปลัดเมืองคือ ต่วนลือเบะ ลงราญา ก็รักษาการโดยไม่ทันได้มีการแต่งตั้งเป็นทางการก็ถูกจับกุม ถือเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้ายของเมืองรามัน


3.เมืองยะลา ได้แต่งตั้ง ต่วนยาลอเป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนบางกอก เมื่อสิ้นชีพ ก็แต่งตั้งนายเหมไส ชาวจีนจากสงขลา ต่อมาก็ปลดแล้วแต่งตั้งนายเมือง ชาวสยามมาเป็นเจ้าเมือง เมื่อปลดนายเมืองก็แต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัดสาและ(ต่วนบาตูปูเต๊ะ)เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนตีมุนเป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง เต็งกูสุไลมาน หรือต่วนกือจิ เป็นเจ้าเมืองยะลาคนสุดท้าย


4.เมืองสายบุรี แต่งตั้ง นิดะห์ หรือ เต็งกูญาลาลูดดีน เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง นิคกัลสิห์ หรือเต็งกูอับดุลกอเดร์ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูอับดุลมุตตอลิบ หรือนิปิ เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย


5.เมืองระแงะ แต่งตั้งนิคดะห์ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิยูโซ๊ฟ หรือ นิบอซู เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งต่วนนง หรือต่วนอันดัค เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งต่วนตือเงาะห์ หรือต่วนเต๊ะ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย


6.เมืองยะหริ่ง แต่งตั้งนายไผ่ ชาวสยามจากสงขลาเป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายเหมใส รักษาการ แล้วก็แต่งตั้งนายนิโซ๊ะ จากเจ้าเมืองปัตตานีมาเป็นแทน เมื่อนิโซ๊ะ สิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนเดวา กลันตันมาเป็นเจ้าเมืองเมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิตีมุน เป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิมะ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายนิโว๊ะ เป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนสุดท้าย


7เมืองหนองจิก ได้แต่งตั้งต่วนนิ หรือ ต่วนกือจิ เป็นเจ้าเมือง เมื่อเสียชีวิตก็แต่งตั้งนายมิ่งชาวสยามจากสงขลาเป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อปลดนายมิ่ง ก็แต่งตั้งนายเคียง เป็นแทน เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายวูหยาง ชาวจีนเป็นแทน ต่อมาก็แต่งตั้งนายมิ่งมาเป็นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตังนายทัด เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย
นอกจากนี้สยามยังได้แยกเมืองสตูลจา

กเคดะห์ ให้เป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับสงขลาทำนองเดียวกับในปัตตานี โดยแต่งตั้งเต็งกูรียาอูดดีน เป็นเจ้าเมืองสตูลคนแรก เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูบิสนู เมือเต็งกูบิสนูสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัดอากิบ เป็นเจ้าเมือง ต่อมาก็แต่งตั้งเต็งกูอับดุลเราะห์มาน และแต่งตั้งเต็งกูดิน เป็นเจ้าเมืองมลายูสตูลคนสุดท้าย


พ.ศ.2440 พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ การแต่งตั้งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมือง ต้องมาจากพระบรมราชโองการที่มาจากส่วนกลางเท่านั้น การสืบทอดเจ้าเมืองตามแบบมลายูเดิมนั้นจะต้องยกเลิกในทุกกรณี การที่จะปลดเจ้าเมืองมลายูไปจากอำนาจที่มีมาแต่อดีตกาลนั้น มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนไม่น้อย โดยเริ่มจากห้ามมิให้เจ้าเมืองมลายูเข้าเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี การเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของข้าราชการที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง ซึ่งมีการ


เรียกเก็บมากกว่าเดิมและมีการเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ราษฎรเดือดร้อนและเข้าใจว่าเจ้าเมืองของตนนั่นเองรวมหัวกับข้าราชการเก็บภาษีเอาไว้ประโยชน์ส่วนตัว เมื่อเต็งกูสุไลมาน สิ้นชีวิต เต็งกูอับดุลกอเดร์ก็เข้ารักษาการเจ้าเมืองปัตตานี
พ.ศ.2444 พระยาศักดิเสนีย์ ถูกส่งตัวไปเป็นผู้สำเร็จราชการมณฑลปัตตานีพร้อมด้วยกำลังทหาร เพื่อปลดเจ้าเมืองมลายูออกจากอำนาจ เริ่มด้วยการจับกุม ต่วนลือเบะ รักษาการเจ้าเมืองรามัน ไปยังจังหวัดสงขลา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบชะตากรรม ทำให้ประชาชนรวมตัวกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวต่วนลือเบะ


13 สิงหาคม 2444 เต็งกูอับดุลกอเดร์ เจ้าเมืองปัตตานี เต็งกูอับดุลมุตตอเล็บ เจ้าเมืองสายบุรี และเต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน เจ้าเมืองระแงะ ได้ทำหนังสือร้องเรียน และขอความช่วยเหลือจาก สวิทเท่นแฮม ผู้แทนอังกฤษที่สิงคโปร์


23 ตุลาคม 2444 พระยาศรีสหเทพ เดินทางไปปัตตานี พร้อมด้วยเอกสารฉบับหนึ่งให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ ลงนาม แต่ในเบื้องต้นท่านไม่ยอมลงนาม จนกระทั่งพระยาศรีสหเทพ ได้หาล่ามมาแปลหนังสือดังกล่าวเป็นภาษามลายู จนเต็งกูอับดุลกอเดร์หลงเชื่อ จึงได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว จากนั้นพระยาศรีสหเทพ ก็เดินทางไปยังสิงคโปร์ แสดงหนังสือที่เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนามไว้แล้วนั้นให้สวิทเท่นแฮมได้ดูเป็นหลักฐานว่า เจ้าเมืองปัตตานีได้ยินยอมสละอำนาจให้สยามแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าวเต็งกูอับดุลกอเดร์ จึงได้ทำหนังสือคัดค้านไปยังกรุงเทพฯแต่ไม่ได้รับความสนใจ


นอกจากนั้น เต็งกูอับดุลกอเดร์ ยังมีหนังสือไปถึงสวิทเท่นแฮม ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2544 มีใจความดังนี้


“ I trust that the trouble and grievances which are being impost on my people will be seen by your excellency to be so harrasing and unendurable that the peace and well being of the state are endangered…and also that it will be seen that my application for the intervention and good offices of Great Britain has good grounds on which it is founded, and on which such application can be made to Great Britain or some other of the Great Power either Europeans or other.“


ดังนั้น เวลาบ่ายสามโมงของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2445 พระยาศรีสหเทพ จึงได้สั่งทหารจับตัวเต็งกูอับดุลกอเดร์ ลงเรือไปยังจังหวัดสงขลาทันที่โดยมี หะยีอับดุลลาตีฟ โต๊ะอีหม่ามมัสยิดรายาจะบังติกอติดตามไปด้วย หลังจากก็ถูกนำส่งตัวส่งไปยังกรุงเทพฯและถูกจำขังที่พิษณุโลกตามลำดับ


เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2445 เต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน และเต็งกูอับดุลมุตตอลิบก็ถูกจับกุมตัว และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระเมื่อ เดือนเมษายน 2446 ส่วนเต็งกูอับดุลกอเดร์ ได้การปล่อยตัวเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ.2447


เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2452 ข้อตกลงสยาม-อังกฤษ (Anglo-Siam treaty) ในการแบ่งเขตแดนระหว่างอังกฤษ-สยาม ก็มีการลงนามกันขึ้น ทำให้สตูลและปัตตานีมาส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม ในขณะที่กลันตัน ตรังกานู เคดะห์ และ เปอร์ลิส ขึ้นกับอาณานิคมอังกฤษ เป็นการแบ่งสรรกันโดยเจ้าของแผ่นดินไม่มีสิทธิได้รับรู้


เมื่อเดือน 31 สิงหาคม 2506 อังกฤษได้ปลดปล่อยรัฐมลายูทั้งปวงได้เป็นอิสระ เขาเหล่านั้นได้พัฒนาบ้านเมืองของตนไปตามกรอบที่อังกฤษได้วางไว้ เจริญล้ำหน้ากว่าในหลายๆประเทศ ในขณะที่ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีฐานะยากจน,ล้าหลัง ด้อยการศึกษาอยู่อีกต่อไป



อนิจจา ปาตานี ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต ได้กลายเป็นอาณาจักรที่ถูกลืม มาตั้ง 100 ปี แล้ว

แหลมตาชี

แหลมตาชี หรือ แหลมโพธิ์ เป็นหาดทรายขาวต่อจากหาดตะโละกาโปร์ เกิดจากการก่อตัวของสันทรายที่ยื่นออกไปในทะเลในลักษณะสันดอนจะงอย (Sand Spit) ไปในทะเลอ่าวไทยทางทิศเหนือ มีภูมิทัศน์ที่สวยงามเหมาะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ การเดินทางไปแหลมตาชีไปได้ 2 ทาง คือ ทางน้ำ นั่งเรือจากปากแม่น้ำปัตตานีตรงไปยังแหลมตาชีเลย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษ หรือ นั่งเรือจากท่าด่านอำเภอยะหริ่ง ออกมาตามคลองยามู จนถึงทะเลในไปจนถึงแหลมตาชี ทางบก จากอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามู มาตามสะพานไม้ มีถนนตัดเข้าไปประมาณ 10 กิโลเมตร จนถึงปลายแหลมตาชี


หาดแฆ



ที่ตั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านน้ำบ่อ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
จุดเด่น ชายหาดซึ่งมีความสวยงามและน่าเที่ยวที่สุดแห่งหนึ่งของปัตตานี ชายหาดโค้งเว้ามีความยาวเป็นระยะทางไกล ทรายมีสีทองละเอียดตัดกับน้ำทะเลสีครามในวันฟ้าใส นอกจากนั้นยังมีโขดหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาจำนวนมากที่เกิดขึ้นเอง จึงมีลักษณะคล้ายสวนหินธรรมชาติ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวท้องถิ่น และต่างถิ่นแวะเวียนมาพักผ่อนเล่นน้ำกันอยู่เสมอ บริเวณชายหาดได้จัดทำเป็นซุ้มศาลาพักร้อน คำว่า แฆแฆเป็นภาษามลายู แปลว่า อึกทึกครึกโครม
สถานที่พักแรม บริเวณหาดยังไม่ได้รับการปรับปรุงเป็นจุดแค้มปิ้ง อีกทั้งสามารถเดินทางพักผ่อนได้แบบไปกลับในวันเดียว
การเดินทาง จากตัวเมืองปัตตานีใช้เส้นทางหลวงสาย 42 แล้วแยกเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 4075 จนถึงสามแยกแล้วเลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวงหมายเลข 4061 จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4157 ซึ่งเป็นถนนเลียบชายหาดเป็นระยะทางยาวสวยงามมาก เมื่อถึงกม.ที่ 7-8 เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกราว 500 เมตร ถึงชายหาดแฆแฆ ห่างจากตัวเมืองปัตตานีราว 43 กม. หรือจากอำเภอปะนาเระจะมีเส้นทางเลียบหาดยาวไปจนถึงหาดแฆแฆ สภาพเส้นทางสะดวกสบาย



หาดราชรักษ์

หาดราชรักษ์

ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.บ้านน้ำบ่อ อ.ปะนาเระ  อยู่ติดกับหาดแฆแฆ ลักษณะเป็นหาดทรายกว้างล้อมรอบด้วยโขดหินกลมมนน้อยใหญ่ มีเนินและหุบเขาเตี้ยๆ สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงาม เหมาะสำหรับการพักผ่อนในช่วงเช้าและเย็น


บริเวณนี้ยังไม่มีที่พัก เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ การเดินทางหากมาจากตัวเมืองปัตตานีหาดราชรักษ์จะอยู่ก่อนถึงหาดแฆ ประมาณ 2 ก.ม.



นํ้าตกอรัญวาริน


ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งพลา น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชาวบ้านเรียกว่าควนอาศัย ต่อมาทางอำเภอโคกโพธิ์ได้เข้าสำรวจเส้นทางเพื่อก่อสร้างทางเข้าสู่น้ำตกและ ได้ตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า น้ำตกอรัญวารินปัจจุบันน้ำตกอรัญวารินกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดปัตตานี ผาน้ำตกชันบนสุดมีความสูง ประมาณ 30 เมตร มีสายน้ำไหลคดเคี้ยวตามแนวโขดหิน และมีผาน้ำตกลดหลั่นลงมา 6 ชั้น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจและสัมผัสกลิ่นอายของพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นใน บริเวณป่าดิบชื้น การเดินทางจากตัวเมืองปัตตานีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 409 สายปัตตานี-ยะลา ระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร ถึงทางแยกขวามือตรงปากทางเข้าวัดห้วยเงาะ อีกประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงทางแยกขวามือตรงปากทางเข้าวัดห้วยเงาะอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็ถึงตัวน้ำตกอรัญวาริณเป็นน้ำตกในเทือกเขาสันกาลาคีรี ลักษณะน้ำตกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ รวม 7 ชั้น แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 300-500 เมตร ซึ่งในแต่ละชั้นมีลักษณะความสวยงามแตกต่างกันออกไป



นํ้าตกโผงโผง

ตั้งอยู่ที่ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ที่ ทข.1 (น้ำตกโผงโผง) ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-ยะลา) และต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 409 สายปัตตานี-ยะลา ถึงบ้านปากล่อเลี้ยวขวาไปตามทางลาดยางอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงตัวน้ำตก น้ำตกโผงโผงเป็นน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันไดจำนวน 7 ชั้น ที่ราบชั้นล่างสุดมีแอ่งน้ำตกขนาดใหญ่ มองขึ้นไปยังผาน้ำตกชั้นบนจะมองเห็นน้ำตกไหลลงมาเป็นสายน้ำคดเคี้ยวตาม หน้าผาและโขดหิน พื้นที่บริเวณสองข้างลำธารและบริเวณใกล้ตัวน้ำตกมีความร่มรื่นปกคลุมด้วย พรรณไม้นานาชนิด สภาพร่มรื่นเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน